5 เคล็ดลับวางแผนการจัดส่งสินค้า ให้ลูกค้าประทับใจ คนขายไม่ขาดทุน
Highlight
- ในการซื้อ-ขายออนไลน์ “การจัดส่งสินค้า” เป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้ง
- การจัดส่งสินค้าที่มีคุณภาพ มาจากราคาที่สมเหตุสมผล การแพ็กที่ปลอดภัย และความรวดเร็วในการจัดส่ง ซึ่งในบางครั้งอาจมาพร้อมต้นทุนการจัดส่งที่สูงขึ้น
- วิธีบริหารการจัดส่งสินค้า ควรวางแผนตั้งแต่คำนวณน้ำหนักสินค้า พื้นที่จัดส่ง ประเภทหีบห่อที่ใช้ รอบจัดส่งสินค้า และระบบติดตามพัสดุ จะช่วยให้คนขายออนไลน์สามารถสร้างความประทับใจให้ลูกค้า และประหยัดต้นทุนการจัดส่งได้อีกด้วย
ในการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ หนึ่งในสิ่งที่ลูกค้ามักให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ “การจัดส่งสินค้า” ที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่สมเหตุสมผล การแพ็กสินค้าที่ปลอดภัย รวมไปถึงการขนส่งที่รวดเร็วทันใจ ซึ่งหากทำได้ดี ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ในการวางแผนการจัดส่งที่มีคุณภาพ และสร้างความประทับให้กับลูกค้าได้ ก็อาจมาพร้อมต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย วันนี้เราจึงชวนคนขายของออนไลน์มาเปิดเคล็ดลับวางแผนการจัดส่งสินค้าให้ได้ทั้งใจลูกค้า และที่สำคัญคือสามารถบริหารต้นทุนการจัดส่งสินค้าได้แบบไม่ขาดทุนอีกด้วย ไปดูพร้อม ๆ กัน
ประเมินน้ำหนักสินค้าต่อชิ้น
โดยปกติแล้วบริการขนส่งสินค้าจะมีการคิดค่าจัดส่งเพิ่มขึ้นประมาณ 10 บาท ตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 500 กรัม ดังนั้นหากคนขายออนไลน์ที่มีขายสินค้าประเภทที่มีน้ำหนักประมาณ 300–500 กรัมต่อชิ้น ควรใช้วืธีคิดค่าจัดส่งตามจำนวนชิ้น เช่น
ขายหนังสือ 1 เล่ม น้ำหนักชิ้นละ 300 กรัม คิดค่าจัดส่งอยู่ที่ 40 บาท
เมื่อลูกค้าซื้อ 2 เล่ม น้ำหนักพัสดุรวมอยู่ที่ประมาณ 600 กรัม จึงควรบวกราคาค่าส่งเพิ่มเล่มละ 10 บาท เป็นต้น
เปรียบเทียบค่าจัดส่งพัสดุแต่ละพื้นที่
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการขนส่งพัสดุอยู่หลายสิบเจ้า ซึ่งนับเป็นข้อดีของคนขายออนไลน์ที่สามารถเลือกผู้จัดส่งที่คุ้มค่าหรือสะดวกต่อการเข้าถึงได้มากที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ให้บริการจัดส่งแต่ละเจ้าก็จะมีเงื่อนไขในการจัดส่งแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้ค่าจัดส่งพัสดุ และระยะเวลาในการขนส่งแตกต่างกันออกไปด้วย
เรามีวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้คนขายออนไลน์สามารถช่วยลูกค้าเปรียบเทียบค่าขนส่ง และเลือกผู้ให้บริการขนส่งให้เหมาะสมกับพื้นที่ของตัวเอง ดังนี้
- รวบรวมข้อมูลจากลูกค้าเดิมว่ามีออเดอร์สั่งซื้อจากเขตจังหวัดใดอยู่บ่อย ๆ และแต่ละพื้นที่ใช้เวลาจัดส่งประมาณกี่วัน
- เปรียบเทียบการจัดส่งตามพื้นที่ โดยเช็กจากผู้ให้บริการขนส่งที่ร้านค้าใช้อยู่ทั้งหมด
- สื่อสารกับลูกค้าโดยทำเป็นตารางเปรียบเทียบที่มีข้อมูล 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ชื่อผู้ให้บริการจัดส่ง พื้นที่จัดส่ง ค่าจัดส่ง ระยะเวลาในการจัดส่ง โดยใช้ตาราง Infographic เป็นตัวช่วย
เลือกประเภทบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม
สำหรับผู้ให้บริการขนส่งพัสดุบางเจ้า นอกจากจะคิดค่าจัดส่งสินค้าตามน้ำหนักแล้ว ยังมีการคำนวณค่าจัดส่งตามขนาด และบรรจุภัณฑ์ของพัสดุอีกด้วย ดังนั้นอาจทำให้สินค้าเดียวกัน แต่อยู่ในหีบห่อที่ต่างกัน มีราคาค่าจัดส่งที่ต่างกันออกไปด้วย
ตัวอย่าง
Kerry Express คิดค่าจัดส่งพัสดุตามประเภทหีบห่อ น้ำหนัก และขนาดพัสดุ ดังนี้
- ซองพลาสติกไซส์ Lite (32 x 23 ซม.) น้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม คิดค่าจัดส่งเริ่มต้น 25 บาท
- ซองพลาสติกไซส์ C (44 x 31 ซม.) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม คิดค่าจัดส่งเริ่มต้น 30 บาท
- กล่องพัสดุไซส์ S (กว้าง+ยาว+สูง ไม่เกิน 60 ซม.) น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม คิดค่าจัดส่งเริ่มต้น 65 บาท ไม่รวมค่ากล่องอีก 10 บาท
เห็นได้ว่าเมื่อเทียบระหว่างซองพลาสติกไซส์ C กับกล่องพัสดุไซส์ S บรรจุภัณฑ์ 2 ชนิดนี้สามารถรองรับน้ำหนักได้เท่ากันสูงสุด 7 กิโลกรัม ในขณะที่ราคาค่าจัดส่งต่างกันถึง 2 เท่า
ดังนั้นสินค้าบางชนิดที่ร้านค้าสามารถแพ็คสินค้าอย่างปลอดภัยแล้วส่งด้วยซองพลาสติกแทนการใช้กล่อง ก็จะช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งพัสดุลงได้อีกเป็นเท่าตัว
เช็กค่าส่งพัสดุของ Kerry Express ตามขนาด น้ำหนัก และประเภทบรรจุภัณฑ์ได้ที่นี่
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการจัดส่งสินค้าผ่านทางไปรษณีย์ไทย จะคิดค่าจัดส่งโดยยึดตามน้ำหนักของพัสดุเท่านั้น ซึ่งหากร้านค้าไหนที่ใช้ไปรษณีย์ไทยเป็นหลักก็ไม่จำเป็นต้องกังวลในส่วนนี้
จัดระบบรอบการจัดส่งสินค้า
ในกรณีที่ร้านค้าออนไลน์บางร้านไม่ได้มีการจัดส่งสินค้าทุกวัน วิธีลดปัญหาเกี่ยวกับการจัดส่งที่อาจสร้างความไม่พึงพอใจให้กับลูกค้าได้ก็คือ การจัดรอบส่งพัสดุอย่างเป็นระบบ และประกาศอย่างชัดเจนให้ลูกค้าทราบ
ตัวอย่างเช่น ร้านค้าจัดรอบส่งสินค้าในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ของทุกสัปดาห์ โดยหากสินค้ารอบส่งวันจันทร์ จะถึงลูกค้าภายในไม่เกิน 2–3 วันทำการ ช่วยให้ลูกค้าสามารถคาดการณ์วันที่สินค้าจะถูกจัดส่ง และติดตามได้ในกรณีที่พัสดุล่าช้านั่นเอง
อำนวยความสะดวกในการติดตามสินค้า
อีกหนึ่งเทคนิคในการวางแผนการจัดส่งสินค้าของคนขายออนไลน์ให้ได้ประสิทธิภาพก็คือ การอำนวยความสะดวกลูกค้าในการติดตามพัสดุหลังจากที่ทางร้านได้มีการจัดส่งออกไปเรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากการแจ้งเลขติดตามพัสดุหรือ Tracking Code แล้ว ควรมีการแจ้งช่องทางการติดตามพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งต่าง ๆ ตามไปด้วย เช่น ที่อยู่เว็บไซต์ LINE OA ของผู้ให้บริการ เป็นต้น
deeple เข้าใจคนขายออนไลน์ที่ต้องการวางแผนการจัดส่งสินค้าให้คุ้มค่า และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า โดยระบบหลังร้านออนไลน์ของเรามีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณวางแผนการจัดส่งสินค้า ได้แก่
- ระบบตัวเลือกการจัดส่ง ที่มีผู้ให้บริการจัดส่งให้เลือกหลากหลาย เช่น ไปรษณีย์ไทย Kerry Express, FLASH EXPRESS, J&T Express และอีกมากมาย รวมถึงบริการชำระเงินปลายทาง (COD)
- ระบบคิดค่าจัดส่งหลากหลายรูปแบบ เช่น ค่าจัดส่งคงที่, แอดมินคำนวณค่าจัดส่งเอง, คิดค่าจัดส่งตามรหัสไปรษณีย์ ช่วยให้คิดค่าจัดส่งได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- แชทบอทสามารถให้ข้อมูลการจัดส่ง ผ่านรูปภาพ Infographic เช่น รอบจัดส่ง ค่าส่งตามพื้นที่ ระยะเวลาขนส่งโดยประมาณ เป็นต้น ซึ่งร้านค้าสามารถออกแบบข้อมูลส่วนนี้ได้เอง
- แชทบอทช่วยแอดมินแจ้งเลขพัสดุอัตโนมัติ และแนบลิงก์ช่องทางการติดตามพัสดุให้ลูกค้าเช็กสถานะได้ง่ายขึ้น
- ระบบหลังร้านเปิดให้เชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ด้านการขนส่ง อย่าง LALAMOVE และ SHIPPOP ที่ช่วยให้คุณคิดค่าขนส่งตามน้ำหนักจริง และเรียกรถมารับพัสดุถึงหน้าร้านได้ทันที
เริ่มต้นใช้งาน deeple AI Chatbot และระบบจัดการหลังร้านที่ช่วยงานขายได้ครบวงจร รวมถึงการบริหารการจัดส่งให้คุ้มค่า